6 ขั้นตอนวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นอย่างมืออาชีพ
เหมือนว่าพวกเราเติบโตมากับสื่อต่าง ๆ ที่มีความเป็นญี่ปุ่นผสมผสานอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ หนังสือ ภาพยนตร์ ก็ล้วนแล้วแต่ดูคุ้นเคยในความเป็นญี่ปุ่นทั้งนั้น ฉะนั้นเรามาตามฝันไปญี่ปุ่นกันให้สุด ๆ ดีกว่า กับ 6 ทริคเที่ยวญี่ปุ่นที่จะทำให้คุณท่องไปในโลกแห่งความฝันนี้ราวกับมืออาชีพเลยทีเดียว
ปักหมุดสิ่งที่เราสนใจเป็นอันดับแรก
สิ่งแรกที่เราควรจะคำนึงถึงที่สุดก็คือ เราสนใจอะไรมากเป็นพิเศษในการไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งตรงนี้คนที่จะตอบได้ดีที่สุดก็คือตัวเองนั่นเอง การท่องเที่ยวตามหนังสือไกด์บุ๊คแบบ 100% อาจจะดูง่ายดี แต่คงไม่สามารถตอบโจทย์เราได้อย่างเต็มที่ ลองจินตนาการดูว่าคงจะไม่น่าสนุกเท่าไหร่ถ้าเราเป็นคนที่สนใจย่านเทคโนโลยีเป็นพิเศษ แต่ทั้งทริปมีแต่วัด หรือสนใจธรรมชาติที่สงบเป็นพิเศษแต่กลับเที่ยวในเมืองใหญ่ซะเกือบทั้งทริป ฉะนั้นลองเลือกสิ่งที่เราอยากไปมาก ๆ ออกมาเป็นแกนของทริปเสียก่อน แล้วจึงค่อยลงลึกถึงรายละเอียดขั้นต่อไป ถ้าอยากจะเลือกสถานที่ต่าง ๆ โดยละเอียดลองเข้า japan-guide.com ที่รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดเอาไว้ดูก็ได้
เชื่อมโยงหมุดหมายเข้าด้วยกัน
เมื่อเราได้แกนของทริปมาแล้ว ก็จัดการร้อยเรียงหมุดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ขั้นตอนนี้จะทำให้เราสามารถจัดการได้ว่า หมุดตัวไหนที่อยู่นอกเส้นทางมากเกินไป อย่าลังเลหรือเสียดายที่จะตัดใจจากเมืองที่ต้องเดินทางไกลเกินไป เพราะคงไม่สนุกเท่าไหร่หากว่าทั้งทริปมีแต่การเดินทางแต่ได้ชมบรรยากาศของเมืองแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น
กำหนดงบประมาณ
งบประมาณหลัก ๆ ของทริปญี่ปุ่นจะประกอบไปด้วย ค่าเครื่องบินไปกลับ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทางและ ค่าเข้าสถานที่
ค่าใช้จ่ายที่เราสามารถกำหนดได้ก่อนเดินทางก็จะมี ค่าเครื่องบิน และ ค่าที่พัก โดยเฉลี่ยแล้วราคากลางของค่าเครื่องบินจะประมาณ 15,000 และค่าที่พักที่ราว 1,200 บาท ต่อคนต่อคืน แต่ทั้งค่าเครื่องบินและค่าที่พัก สามารถขยับขึ้นลงได้ ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นและความหรูหราของที่พักนั่นเอง
สมมุติว่าเราวางแผนเดินทาง 6 วัน 5 คืน โดยสามารถหาตั๋วเครื่องบินและที่พักได้ตามราคากลาง ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นก็จะอยู่ที่ราว 15,000 + (1,200 x 5) = 21,000 บาท จากนั้นเราจึงมาดูงบประมาณและสถานที่ที่เราอยากไป โดยอาจจะใช้งบประมาณเป็นที่ตั้ง เช่นทริปนี้มีงบ 60,000 บาท ใช้ไปแล้ว 21,000 บาท เหลือใช้จ่าย 39,000 บาท อาจจะมีเงินเหลือพอสำหรับช้อปปิ้งหรือ หามื้ออาหารและที่พักพิเศษได้
หรืออาจจะลองคำนวนจากสถานที่ที่เราอยากไปทั้งหมดก่อนก็ได้ ว่าถ้าจะไปทุกสถานที่ที่อยากไปจะใช้เงินเท่าไหร่
โดยปกติแล้วเรามักจะผสมผสานทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน คือกำหนดสถานที่ที่อยากไปและคำนวนค่าใช้จ่ายเบื้องต้นออกมาก่อน จากนั้นจึงกำหนด budget โดยรวม ถ้าเจอกิจกรรมน่าสนใจระหว่างทางและไม่เกินงบประมาณก็สามารถเข้าร่วมได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเท่าไหร่
เตรียมร่างกาย
ญี่ปุ่นเหมือนจะเป็นประเทศที่เที่ยวสบาย ๆ ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย แต่พอไปจริง ๆ แล้วแทบทุกคนจะบอกว่าเดินเยอะมาก หลาย ๆ คนเกิดอาการเหนื่อยล้าอย่างมากในวันหลัง ๆ ของการเดินทาง ทำให้การเที่ยวพลอยสนุกน้อยลงไปอีก ฉะนั้นก่อนเดินทางถ้าเราออกกำลังกายเตรียมไว้เล็กน้อยก็จะช่วยให้เราสนุกกับทริปได้มากขึ้นแน่นอน
เตรียมกระเป๋าให้เหมาะสม
การจัดกระเป๋านี้ครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับอุณหภูมิช่วงนั้น ๆ ของใช้ที่จำเป็น รวมถึงการเหลือช่องว่างในกระเป๋าถ้าวางแผนจะช้อปปิ้ง
โดยปกติเราสามารถเช็กอากาศคร่าว ๆ ได้จากเดือนที่เราจะเดินทาง ถ้ายึดโตเกียวเป็นหลัก ปลายมีนาคมถึงพฤษภาคมจะเป็นฤดูใบไม้ผลิที่อุณหภูมิราว 15-25 องศา มิถุนายนถึงกันยายนจะเป็นหน้าร้อนที่อุณหภูมิ 25-35 องศา ตุลาคมถึงต้นธันวาคมจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่อุณหภูมิใกล้เคียงกับฤดูใบไม้ผลิ และจากธันวาคมถึงกลางมีนาคมเป็นฤดูหนาวที่อุณหภูมิลดต่ำลงเป็นเลขตัวเดียว ข้อควรระวังคืออุณหภูมิในภูมิภาคอื่นบางภาคเช่นฮอกไกโดนั้น แตกต่างจากโตเกียวมาก บางครั้งต่างกันมากกว่า 10 องศาเสียอีก ทำให้ควรเช็กอุณหภูมิล่วงหน้าของเขตที่เราจะไปเสมอ ๆ
เตรียมแผนสำรอง
ถึงจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหนเราก็ควรจะหาทางหนีทีไล่ไว้เสมอหากการเดินทางไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้
การตกเครื่องบิน กระเป๋าเดินทางล่าช้า สภาพอากาศไม่อำนวย อาการเจ็บป่วยระหว่างการเดินทาง เอกสารหายระหว่างการเดินทางล้วนสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ฉะนั้นจึงควรเตรียมตัวรับสถานการณ์แบบง่าย ๆ ไว้เสมอ
เรื่องเอกสารสูญหาย ให้เราถ่ายเอกสารสำคัญเช่น passport แยกเก็บไว้ 1 ชุดเสมอ หรือจะใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายเก็บเอาไว้ก็ได้
ถ้าสภาพอากาศไม่เหมาะกับการทำตามแผน เช่น ฝนตกหนักมากในวันที่วางแผนจะทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็จะไม่เป็นปัญหาถ้าเราวางแผนหาสถานที่ท่องเที่ยวในร่มเอาไว้แล้ว
และถ้าเราซื้อประกันการเดินทางเอาไว้ก็จะเบาใจไปได้ส่วนหนึ่งถ้าเครื่องบินล่าช้า หรือมีการสูญหายของกระเป๋าเดินทาง เนื่องจากสามารถเคลมค่าเสียหายต่าง ๆ ได้ หรือหากโชคร้ายเกิดอุบัติเหตุหรือป่วยไข้ ก็สามารถใช้สิทธิ์ค่ารักษาพยาบาลได้แบบค่อนข้างสบายใจ เพราะค่ารักษาพยาบาลในญี่ปุ่นค่อนข้างแพงทีเดียวถ้าเทียบกับประเทศไทย
ถ้าเราเตรียมตัวไว้อย่างดีแล้ว ถึงเกิดเหตุไม่คาดฝันต่าง ๆ ทริปของเราก็ยังคงราบรื่นอย่างแน่นอน